Saturday, September 26, 2009



ส่วนที่จะให้แสดง อาหารเช้าน่ากิน แถมเพิ่มพลังสมอง ให้สดชื่น รับวันใหม่

ส่วนที่เหลือ
สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
สูตรที่ 2 โยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน
สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด
ใครที่ไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้า ลองหันมากินอาหารที่สะกิดเอามาฝากนี้ สักวันละนิด ให้อยู่ท้อง แล้วจะรู้ว่า กินอาหารเช้า แล้วสดชื่น สดใส กว่างดอาหารเช้านะคะ ^-^

Read More

อ่านแล้วย้อนดู...


ส่วนที่จะให้แสดง แรด

วงศ์ RHINOCEROTIDAERhinoceros sondaicus Dermarest, 1822

ส่วนที่เหลือ

ลักษณะ :
: แรดจัดเป็นสัตว์พวกกีบคี่ คือมีเล็บ 3 เล็บทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ 1.6-1.8 เมตร น้ำหนักตัว 1,500-2,000 กิโลกรัม แรดมีหนังหนาและมีขนแข็งขึ้นห่างๆ สีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีรอยพับของหนัง 3 รอย ตรงบริเวณหัวไหล่ ด้านหลังของขาคู่หน้าและด้านหน้าของขาคู่หลัง แรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน 25 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึ้นมา
อุปนิสัย:
ในอดีตเคยพบแรดออกหากินรวมกันเป็นฝูง แต่ปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆ หรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอนจึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 16 เดือน
ที่อยู่อาศัย:
แรดอาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบชื้นที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์หรือตามป่าทึบริมฝั่งทะเล ส่วนใหญ่จะหากินอยู่ตามพื้นที่ราบ ไม่ค่อยขึ้นไปบนภูเขาสูง
เขตแพร่กระจาย :
แรดมีเขตแพร่กระจายตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปทางแหลมมลายู สุมาตรา และชวา ปัจจุบันมีรายงานพบน้อยมากจนกล่าวได้ว่าเกือบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียแล้ว เชื่อว่าอาจยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้างบนเทือกเขาตะนาวศรี และในป่าลึกบริเวณรอยต่อจังหวัดระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี
สถานภาพ:
ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวน 1 ใน 15 ชนิดของประเทศไทย และจัดอยู่ใน Appendix 1 ของอนุสัญญา CITES ทั้งยังจัดเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S Endangered Species Act
สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์:
เช่นเดียวกับแรดที่พบในบริเวณอื่นๆ แรดที่พบในประเทศไทยถูกล่าและทำลายล้างอย่างหนัก เพื่อต้องการนอและส่วนต่างๆ เช่น หนัง กระดูก เลือด ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่าสูงยิ่ง ใช้เป็นยาบำรุงและยาอื่นๆ นอกจากนี้บริเวณป่าราบที่แรดชอบอาศัยก็หมดไป กลายเป็นบ้านเรือนและบริเวณเกษตรกรรมจนหมด
จากหนังสือ : พืชและสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ในประเทศไทย

Read More

ส่วนที่จะให้แสดง ประเทศลาว
ประเทศลาว หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ลาว: ສາທາລະນະລັດປະຊາທິປະໄຕປະຊາຊົນລາວ, อักษรย่อ: ສປປລ.; อังกฤษ: Lao People's Democratic Republic) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ 236,800 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดจีนและพม่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดต่อกับเวียดนามทางทิศตะวันออก ติดต่อกับกัมพูชาทางทิศใต้ และติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก
ส่วนที่เหลือ
ลักษณะภูมิประเทศ
ประเทศลาวเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนใจกลางของคาบสมุทรอินโดจีน ระหว่างละติจูดที่ 14 - 23 องศาเหนือ ลองติจูดที่ 100 - 108 องศาตะวันออก มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 236,800 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นภาคพื้นดิน 230,800 ตารางกิโลเมตร ภาคพื้นน้ำ 6,000 km² โดยลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เนื่องด้วยตลอดแนวชายแดนของประเทศลาว ซึ่งมีความยาวรวม 5,083 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ ดังนี้
ประเทศจีนทางด้านทิศเหนือ (423 กิโลเมตร)
ประเทศไทยทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตก (1,754 กิโลเมตร)
ประเทศกัมพูชาทางด้านทิศใต้ (541 กิโลเมตร)
ประเทศเวียดนามทางด้านทิศตะวันออก (2,130 กิโลเมตร)
ประเทศพม่าทางด้านทิศตะวันตก (235 กิโลเมตร)
ความยาวพื้นที่ประเทศลาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ยาวประมาณ 1,700 กว่ากิโลเมตร ส่วนที่กว้างที่สุดกว้าง 500 กิโลเมตร และที่แคบที่สุด 140 กิโลเมตร เนื้อที่ทั้งหมด 236,800 ตารางกิโลเมตร
ภูมิประเทศของลาวอาจแบบได้เป็น 3 เขต คือ
เขตภูเขาสูง เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1,500 เมตรขึ้นไป พื้นที่นี้อยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศ
เขตที่ราบสูง คือพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,000 เมตร ปรากฏตั้งแต่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงเมืองพวนไปจนถึงชายแดนกัมพูชา เขตที่ราบสูงนี้มีที่ราบสูงขนาดใหญ่อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ที่ราบสูงเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง), ที่ราบสูงนากาย (แขวงคำม่วน) และที่ราบสูงบริเวณ (ภาคใต้)
เขตที่ราบลุ่ม เป็นเขตที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำต่างๆ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเขตพื้นที่ทั้ง 3 เขต นับเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ แนวที่ราบลุ่มเหล่านี้เริ่มปรากฏตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำงึม เรียกว่า ที่ราบลุ่มเวียงจันทน์ ผ่านที่ราบลุ่มสะหวันนะเขด ซึ่งอยู่ตอนใต้เซบั้งไฟและเซบั้งเหียง และที่ราบจำปาสักทางภาคใต้ของลาว ซึ่งปรากฏตามแนวแม่น้ำโขงเรื่อยไปจนจดชายแดนประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ เมื่อนำเอาพื้นที่ของเขตภูเขาสูงและเขตที่ราบสูงมารวมกันแล้ว จะมากถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ประเทศลาวทั้งหมด โดยจุดที่สูงที่สุดของประเทศลาวอยู่ที่ภูเบี้ย ในแขวงเชียงขวาง วัดความสูงได้ 2,817 เมตร (9,242 ฟุต)
ประเทศลาวมีแม่น้ำสายสำคัญอยู่หลายสาย โดยแม่น้ำซึ่งเป็นสายหัวใจหลักของประเทศคือแม่น้ำโขง ซึ่งไหลผ่านประเทศลาวเป็นระยะทาง 1,835 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสำคัญทั้งในด้านเกษตรกรรม การประมง การผลิตพลังงานไฟฟ้า การคมนาคมจากลาวเหนือไปจนถึงลาวใต้ และการใช้เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศลาวกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ แม่น้ำสายสำคัญของลาวแห่งอื่นๆ ยังได้แก่
แม่น้ำอู (พงสาลี - หลวงพะบาง) ยาว 448 กิโลเมตร
แม่น้ำงึม (เชียงขวาง-เวียงจันทน์) ยาว 354 กิโลเมตร
แม่น้ำเซบั้งเหียง (สะหวันนะเขด) ยาว 338 กิโลเมตร
แม่น้ำทา (หลวงน้ำทา-บ่อแก้ว) ยาว 325 กิโลเมตร
แม่น้ำเซกอง (สาละวัน-เซกอง-อัดตะบือ) ยาว 320 กิโลเมตร
แม่น้ำเซบั้งไฟ (คำม่วน-สะหวันนะเขด) ยาว 239 กิโลเมตร
แม่น้ำแบ่ง (อุดมไซ) ยาว 215 กิโลเมตร
แม่น้ำเซโดน (สาละวัน-จำปาสัก) ยาว 192 กิโลเมตร
แม่น้ำเซละนอง (สะหวันนะเขด) ยาว 115 กิโลเมตร
แม่น้ำกะดิ่ง (บอลิคำไซ) ยาว 103 กิโลเมตร
แม่น้ำคาน (หัวพัน-หลวงพระบาง) ยาว 90 กิโลเมตร

Read More


ส่วนที่จะให้แสดง ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ

ส่วนที่เหลือ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

Read More


ส่วนที่จะให้แสดง ไปลาวทีไร ไม่ว่าไปแขวงไหน เมืองไหน ภาคไหน แดนไหน ลาวกลาง เหนือ ใต้ อีสาน สิ่งที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ “เบียร์ลาว” ที่คนไทยหลายคนมักตรงๆตามอักษรลาวที่เขียนว่า“เบยลาว” หรือ“เขยลาว”

ส่วนที่เหลือ
เบียร์ลาว เป็นเบียร์แห่งชาติลาว มีอยู่แทบทุกซอกทุกมุมของประเทศ ผลิตมาหลายสิบปีแล้ว ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชนคนลาว ครองตลาดเครื่องดื่มประเภทนี้ในสปป.ลาว ณ ปัจจุบัน กว่า 95 % เบียร์ลาวนอกจากจะปรากฏให้เห็นแบบเป็นขวดเล็ก-ใหญ่ และกระป๋อง วางขายทั่วไปตามร้านค้า ร้านอาหารแล้ว ยังมีป้ายโฆษณาเบียร์ลาวปรากฏให้เห็นอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ยิ่งปลายปีนี้ลาวจะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ครั้งที่ 25 ยิ่งทำให้ป้ายโฆษณาซีเกมส์ที่มีเบียร์ลาวเป็นสปอนเซอร์ปรากฏอยู่ทั่วไปหมดตามเขตเมืองใหญ่ เรียกว่าใครที่ไปเยือนลาวแล้วไม่เห็นโลโก้หัวเสือของเบียร์ลาว คงไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า“ไปลาวมาแล้ว” สมัยที่ลาวเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ ชื่อเสียงของเบียร์ลาวมักถูกนักเขียน(ชาย)ไทยหลายๆคนที่เคยเข้าไปเที่ยวลาว ณ ขณะนั้น นำมาเล่นมุกประมาณว่า เมื่อไปเมืองลาว ได้ดื่มเบียร์ลาว(นักเขียนบางคนไม่ควรใช้คำว่าดื่มแต่ควรใช้คำว่าอาบจะเหมาะสมกว่า) พอเริ่มกรึ่มเริ่มเมาเบียร์ลาว เริ่มอินไปกับตัวอักษรลาว(แต่อ่านแบบคนไทย) ใจจึงพาลอยากจะเป็น“เขยลาว”มาซะงั้น

Read More

ควาย ควาย ควาย


ควาย
“ ควาย “ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่มีความผูกพันธ์กับมนุษย์มาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จากหลักฐานภาพเขียนก่อนยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์โบราณ ปรากฏภาพควาย ภาพปลา สัตว์ป่าบางชนิด เขียนอยู่ตามถ้ำต่าง ๆ โดยทั่วไปแสดงให้เห็นว่าควายเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์มาแต่สมัยโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์
ในประเทศไทยเชื่อว่า “ควาย” มีบทบาทสำคัญ เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทย ใช้เป็นแรงงานเพื่อการเกษตร การขนส่งและการคมนาคม แม้แต่ในการสงครามยังใช้ควายเป็นพาหนะในการต่อสู้ข้าศึก เช่น สงครามของพี่น้องชาวบ้านบางระจัน
เดิมควายคงเป็นสัตว์ป่า เหมือนสัตว์ป่าทั่วไป แต่โดยสัญชาติญาณที่เป็นสัตว์ที่สามารถฝึกฝนทำให้เชื่องได้มนุษย์จึงนำมาเลี้ยง ฝึกฝน จนเชื่องและนำมาใช้แรงงาน เป็นประโยชน์ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรักความผูกพัน ระหว่างมนุษย์กับควายสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
คนไทยใช้แรงงานจากควาย มาแต่ยุคสร้างอาณาจักรเพราะพื้นที่ในการตั้งอาณาจักรอยู่ในเขตราบลุ่ม อาชีพที่เหมาะสม คือการเกษตร ตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์ จึงพูดได้ว่า “ควายคือชีวิตของคนไทย”
ความใกล้ชิดระหว่าง “ควายกับคน” จะแตกต่างกับสุนัข หรือแมว ที่เลี้ยงดูไว้เพื่อจุดประสงค์หนึ่งเพราะเราถือว่าควายเป็นสัตว์มีบุญคุณ และได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง
โบราณมีพิธีทำขวัญควาย โดยเมื่อเสร็จจากฤดูไถหว่านแล้ว จะประกอบพิธีทำขวัญให้กับควาย มีการกล่าว โองการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่ช่วยเหลือในการทำมาหากิน ช่วยเหลือแรงงานด้านต่าง ๆ เสร็จแล้วจะมีการจัดหาหญ้าอ่อน น้ำสะอาดเลี้ยงดูให้กับควายมีหลายคนเรียกควายว่า “ลูก”
สมัยก่อนจะไม่มีการฆ่าควายเพื่อกินเนื้อเป็นอาหาร ทุกบ้านจะเลี้ยงดูจนแก่เฒ่าและปล่อยให้ตายเอง จึงจะยอมชำแหละเนื้อมาเป็นอาหาร แต่เก็บเขาเอาไว้เป็นที่ระลึก ว่าได้เคยช่วยเหลืองานมา และจดจำชื่อไว้ว่าเป็นเขาของควายตัวใด ๆ และเกิดประเพณีสะสมเขาควายต่อมา
โลกเจริญก้าวหน้า มีวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ สังคมเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสังคมเกษตรในประเทศไทยจากที่เคยใช้ควายไถนา คราดนา ลากเกวียน นวดข้าว เปลี่ยนเป็น เครื่องจักร เครื่องนวดข้าว บทบาทของควายภาคเกษตรหมดลงโดยสิ้นเชิง “น่าใจใจหาย”
บทบาทใหม่ของควายล่ะ คืออะไร…จากสัตว์ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยเหลืองานทุกครัวเรือนเอาใจใส่ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี สุมไฟให้เพื่อป้องกันยุง หาหญ้า หาน้ำ เพื่อเลี้ยงดู อยู่กินอย่างเป็นเพื่อน ไม่น่าเลยคนใจร้ายทำได้ “เห็นหน้ากันอยู่
หลัด ๆ กินเสียได้”
ปัจจุบันควายถูกเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจ คือเลี้ยงเพื่อส่งขายให้กับโรงฆ่าสัตว์ไม่มีการชะลอหรือละเว้น ควายหมดจากประเทศไทยแน่ ๆ เด็กรุ่นหลังคงรู้จักควายจาก อนุสาวรีย์ หรือรูปภาพเท่านั้น
โครงการ “บ้านควาย” ดำเนินการอยู่ที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ ปลุกสำนึกให้กับพี่น้องประชาชนได้ระลึกถึง “ควาย” สัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยในการส่งเสริมรายได้ให้กับชุมชน และยังส่งเสริมและอนุรักษ์ให้ควายเป็นสัตว์ที่ได้รับความสนใจ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณค่า เพราะไม่แน่ว่าวันข้างหน้าควายอาจกลับมามีบทบาทต่อชีวิตของพี่น้องเกษตรกรอีก

“วันนี้ดูไร้ค่า ที่ผ่านมาเคยช่วยชาติ”
กระบือ
สัตว์มีค่าที่ (เกือบ) ถูกลืม
สัตว์ ที่มีบุญคุณมหาศาล และมีความสำคัญต่อปากท้องของคนไทยมาเนิ่นน่านกระบือ หรือที่ในภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า “ควาย” กระบือหรือควายนั้น มีความสัมพันธ์กับมนุษย์มานานไม่ว่าจะเป็นเรื่องในวรรณคดีหรือประวัติศาสตร์ไทย อย่างเช่น ภาพยนตร์ เรื่องบางระจันที่นายทองเหม็นขี่กระบือ (ควาย) เข้าต่อสู้กับพม่า เพื่อป้องกันเอกราชของประเทศไทยจนกระทั่งตัวตายนอกเหนือจากเราจะใช้กระบือเป็นพาหนะในการรบแล้ว ก็ยังถูกนำมาใช้กับการเกษตรกรรมอีกด้วย ได้แก่ การไถนา ปลูกข้าว แต่ปัจจุบันเรามีเครื่องไถเป็นเครื่องจักร ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ควายเหล็ก” มาใช้กันเพราะมีความสะดวกสบาย รวดเร็ว ดังนั้นกระบือจึงถูกละเลยและมนุษย์ก็ค่อย ๆ ลืมเลือนถึงคุณค่าตรงจุดนี้ทีละน้อย
ควายมีการเรียกแตกต่างกันไปแต่ละชาติแต่ละภาษา เช่น ภาษาจีนเรียกว่า “สุ่ยหนิว” (Sui Nui) ภาษาฟิลิปปินส์ เรียกว่า “คาราบาว” (Carabao) และภาษาไทยเรียกว่า “ควาย” (Khway) ภาษามาเลย์เรียกว่า “เกรเบา” (Krabao) เป็นต้น

พันธ์กระบือ
พันธุ์กระบือในโลกมี 2 ชนิด คือกระบือป่า และกระบือบ้าน ซึ่งสามารถแบ่งกระบือบ้านออกไปได้อีก 2 ประเภทดังนี้คือ- กระบือปลัก (Swamp Buffalo) ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ลาว มีกระบือปลักเป็นจำนวนมาก ใช้สำหรับทำงานในท้องนา เพื่อปลูกข้าว และลากเข็นเมื่อกระบือใช้งานไม่ไหวแล้ว ก็จะส่งเข้าโรงฆ่าเพื่อใช้เนื้อเป็นอาหาร
- กระบือปลัก ยังมีความแข็งแรง มีกีบเท้าใหญ่ เคลื่อนไหว และเจริญเติบโตช้า ไม่ค่อยทนความร้อน จะแสดง
- อาการทุรนทุรายเมื่อไม่ได้ลงน้ำเป็นเวลานาน ชอบแช่ในโคลนตมเพื่อป้องกันแสงแดดและแมลงรบกวนได้แก่
- กระบืออินโดนีเซีย และกระบือไทย เป็นต้น
- กระบือปลักของไทยมีลักษณะ ขนาด และสี คล้ายกระบือในพม่า กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซี่งมีสี 2 สี
- คือ สีเทาเข้มเกือบดำและอีกสี คือสีเผือก-ผิวหนังสีชมพู
- กระบือน้ำหรือกระบือแม่น้ำ (River Buffalo) กระบือพวกนี้คือ กระบือที่พบในอินเดีย ปากีสถาน อียิปต์ ยุโรปตอนใต้ กระบือชนิดนี้เป็นกระบือนมมากกว่า ชอบน้ำสะอาด ไม่ชอบลงโคลน ได้แก่ กระบืออียิปต์ กระบือคอเคเซียน และกระบือเมดิเตอร์เรเนียน เป็นต้น ควายแม่น้ำเพิ่งเข้ามาสู่ประเทศไทยประมาณสมัยรัชการที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงอยู่ในส่วนราชการ ยังไม่มีควายสำคัญต่อวิถีชีวิตคนไทยมากนัก
สำหรับการเลี้ยงกระบือในประเทศไทย เป็นการเลี้ยงตามยถากรรม ไม่มีการปรับปรุงพันธุ์ กระบือตัวผู้หากตัวใดดุก็ทำการตอนหากปล่อยไว้จะควบคุมยาก อีกทั้งยังให้กระบือเล็กแคระแกร็นไม่มีการคัดเลือกพันธุ์ที่ดีและยังปล่อยให้กระบือหาอาหารกินเองในนาข้าวหรือในป่า คอกหรือที่อยู่ของกระบือก็ไม่มีส่วนมากมักจะผูกกับเสาเรือน หรือมีคอกอยู่ก็จะให้ฟางข้าวและน้ำกินโดยสุมไฟไล่แมลงรบกวน แต่ปัจจุบันนี้ได้หันมาสนใจการเลี้ยงกระบือกันอย่างจริงจังมากขึ้น
ในช่วงปี พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงริเริ่มโครงการธนาคารกระบือ (Buffalo Bank Project) ขึ้นที่ จ. ปราจีนบุรี และกรมปศุสัตว์รับผิดชอบในการดำเนินการ
ลักษณะทั่วไปของควาย
ขนาด
ควายจะโตเต็มวัยเมื่ออายุระหว่าง 5-8 ปี น้ำหนักตัวผู้โตเต็มวัยโดยเฉลี่ย 520-560 กิโลกรัม ตัวเมียเฉลี่ยประมาณ 360-440 กิโลกรัม ตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย
รูปร่างหน้าตา
ควายส่วนใหญ่รูปร่างอ้วน เตี้ย พ่วงพี ลำตัวสั้น ท้องกางกลม แข้งขาสั้น เขากางยาว ปลายเขาโค้งเป็นวงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
สี
ควายมีอยู่ 2 สี คือควายที่มีขนสีดำกับควายที่มีขนสีขาว โดยทั่วไปควายมีขนสำดำ ส่วนควายขนสีขาวหรือที่เรียกว่าควายเผือก
ควายเผือก (Albinoid Buffalo) ไม่ค่อยมีหน้าที่ในการเป็นสินค้า หรืออาหาร เพราะชาวนาไม่นิยมซื้อขาย และไม่นิยมฆ่าแกง แต่จะมีประโยชน์ด้านจิตใจมากกว่าควายสีดำ
เขา
ควายโดยทั่วไปหรือส่วนใหญ่มีเขายาวกางออกสองข้างศีรษะ ปลายเขาโค้งเข้าหากัน ลักษณะเขาควายส่วนล่างเป็นสี่เหลี่ยมรูปมนผิวขรุขระเป็นปล้อง ส่วนบนกลมเรียวปลายแหลมผิวลื่น ควายบางตัวมีเขาผิดปกติ คือเขาสั้นทู่หรือเขาหลูบห้อยลงสองข้างศีรษะ ขนาดเขาควายโดยปกติยาวประมาณ 60-120 เซนติเมตร
ฟัน
ควายมีฟันล่าง 20 ซี่ ส่วนฟันบนมีเฉพาะกราม 12 ซี่ ไม่มีฟันหน้า ด้วยเหตุนี้ชาวนาจึงเชื่อว่าควายไม่มีฟันบน
การเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์
ลูกควายจะกินนมแม่จนอายุประมาณ 1.5 ปี ควายจะเจริญเติบโตใช้แรงงานได้ระหว่างอายุ 2.5-3 ปี ช่วงที่ใช้งานได้เต็มที่ คือระหว่างอายุ 5-8 ปี ควายแต่ละตัวจะใช้งานได้จนอายุย่างเข้า 20 ปี อายุควายโดยทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 25 ปี (เว้นกรณีพิเศษที่ควายบางตัวอาจมีอายุยืนผิดปกติ)
ควายตัวผู้สามารถเป็นพ่อพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 2 ปี ส่วนควายตัวเมียสามารถเป็นแม่พันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 3 ปีขึ้นไป ควายจะตั้งท้องช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวซึ่งเป็นฤดูที่อาหารอุดมสมบูรณ์ควายจะอุ้มท้องประมาณ 10.5 เดือน ก่อนและหลังคลอด 2-3 อาทิตย์ เจ้าของไม่นิยมใช้งานหนัก ปกติควายจะคลอดลูก 2 ตัว ในเวลา 3 ปี
การเลี้ยงกระบือ
การเลี้ยงกระบือ โดยมากเลี้ยงเป็นฝูงรวมกัน โดยใช้ตัวผู้ 1 ตัว คุมฝูงตัวเมียได้ประมาณ 25-30 ตัว หากกระบือที่เลี้ยงไว้มีจำนวนมาก ก็จะแบ่งออกเป็นฝูงโดยใช้รั้วกั้น
วิธีแบ่งฝูงกระบือจะแบ่งตาม ฝูงพ่อกระบือ แบ่งเป็นคอก ๆ เพื่อป้องกันการต่อสู้กัน ฝูงแม่กระบือ ฝูงกระบือตัวผู้ที่ยังผสมไม่ได้ และฝูงกระบือตัวเมียที่ยังผสมไม่ได้
คุณค่าที่ (เกือบ) ถูกลืม
แต่ปัจจุบันคุณค่าของกระบือเริ่มลดน้อยลงไป โดยเฉพาะทางด้านเกษตรกรรม เพราะมีเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาใช้แทนที่แรงงานของกระบือแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกลุ่มเกษตรกรบางกลุ่มที่อนุรักษ์และยังคงความนิยม “กระบือ” มากกว่าเครื่องจักรไม่ว่าเหตุผลใด ๆ ก็แล้วแต่กระบือถือเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ไม่ว่าในยุคไหน ๆ ก็ตามที ถึงแม้ปัจจุบันคุณค่าบางส่วนอาจลดลงไป ดูอย่างเจ้าบุญเลิศ ที่ได้กลายเป็นดาราดังไปแล้ว (แม้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมกับความสำเร็จเพราะป่วยตายเสียก่อน
ประโยชน์มากมายของกระบือ
เนื้อกินได้ หนังรองนั่ง กระดูกไม่ต้องแขวนคอ
กระบือเป็นสัตว์ซึ่งตามภาษาสัตวศาสตร์ เรียกว่า Bos Bubalis มนุษย์รู้จักและเลี้ยงมาช้านานแล้วโดยกระบือตามลักษณะของวิชาสัตวศาสตร์มีดังนี้ เป็นสัตว์ขนาดหนักโครงร่างใหญ่ ร่างกายหนา ผิวหนังมีสีดำ สีเผือก สีด่าง มีขนเล็กน้อย หัวยาวแคบ มีเขาบนหัว หางสั้นและมีขนที่ปลายหาง กระบือพันธุ์นมที่ดีจะมีเต้านมใหญ่ หัวนมยาว น้ำนมมีสีขาว ไขมันสูงสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยใช้ไถนา ลากของ ลากเกวียน เนื้อเป็นอาหารหนังก็นำมาทำเครื่องหนัง อีกทั้งยังเป็นพาหนะอีกด้วย

Read More

Saturday, August 29, 2009

คิดดูซะบ้างนะ...


กรรม- เวร


กรรม คือ อะไร? กรรม คือ การกระทำ การกระทำนั้นมี ๒ อย่าง
คือ.........
๑. การกระทำกรรมดี
๒. การกระทำกรรมชั่ว
การกระทำกรรมดี เป็นการกระทำที่เป็นบุญหรือเป็นกุศล
การกระทำกรรมชั่ว เป็นการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นอกุศล
ถ้าหากบุญกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความสุข ความเจริญ
รุ่งเรือง ความสำเร็จ ความสมหวัง ความคล่องตัว มีกำไร ป่วยอยู่ก็จะ
หายป่วย ที่หน่ายอยู่ก็จะกลับมารัก ฯลฯ ......
ถ้าหากบาปอกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความทุกข์ ความ
เสื่อม ความล้มเหลว ความผิดหวัง การติดขัด ขาดทุน ป่วยอยู่ก็จะ
ตาย ที่รักอยู่ก็แหนงหน่าย ฯลฯ ......
ฉะนั้นคำว่า " กรรม " หมายถึงความดีและความไม่ดีด้วยเพราะกรรม
คือการกระทำ ส่วนการส่งผลของกรรมนั้น มีทั้งกรรมหนักและกรรมเบา
กรรมจะส่งผลหนักหรือจะส่งผลเบานั้นขึ้นอยู่กับว่า การประกอบกรรมหรือ
ทำกรรมนั้นมีเจตนาทำ(ตั้งใจหรือจงใจทำ) หรือ ไม่มีเจตนาทำ(ไม่ตั้งใจ
ทำ) ถ้าหากเราตั้งใจทำความดีผลของความดีก็จะส่งผลมาก ตรงกันข้าม
ถ้าหากเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำความดี ผลของความดีก็จะส่งผลน้อยหรือไม่
ส่งผลเลย ถ้าเราตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะประกอบกรรมชั่วหรือทำความชั่ว
ผลของการกระทำความชั่วของเราก็จะส่งผลให้กับเรามาก แต่ถ้าหากเราไม่
มีเจตนาหรือไม่มีความตั้งใจที่จะทำความไม่ดีหรือความชั่ว เราก็จะได้รับผล
ของความชั่วหรือความไม่ดีน้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำความดี (บุญ
กุศล)หรือการกระทำความไม่ดี(บาปอกุศล)ของเรามาจากการกระทำของเรา
ได้ ๓ ทางคือ ......
๑. การกระทำทางกาย
๒. การกระทำทางวาจา
๓. การกระทำทางใจ

การกระทำทางกาย หมายถึง การใช้ร่างกายทำกรรมหรือประกอบ
กรรมหรือลงมือทำนั่นเอง
การกระทำทางวาจา หมายถึง การใช้วาจา คำพูด ทำกรรม
หรือประกอบกรรม
การกระทำทางใจ หมายถึง เกิดจากความนึกคิดหรือการใช้ความ
นึกคิดทำกรรมหรือประกอบกรรม

ผลของกรรมจะเกิดก็ต่อเมื่อ การกระทำกรรมหรือประกอบกรรมนั้นๆ
ของตัวเราและหรือคนอื่นๆ ทำให้ตัวของเราและหรือคนอื่นเดือดร้อน ไม่
สบายใจและเป็นทุกข์ จุดเริ่มต้นของการประกอบกรรมหรือการทำกรรมนั้น
จะเริ่มจากทางใจหรือทางความนึกคิดของเราก่อน พอคิดบ่อยๆเข้า ก็จะ
ส่งผลไปให้วาจาทำกรรมหรือประกอบกรรมขึ้น พอพูดบ่อยๆเข้าทีนี้ก็ใช้กาย
หรือร่างกายของเราทำกรรมหรือลงมือทำเลย การประกอบกรรมโดยการ
กระทำทางกายและทางวาจาทำให้เกิด เจ้ากรรมนายเวร ส่วนการประกอบ
กรรมที่ใช้หรือเกิดจากความนึกคิดของเรา ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร แต่จะเป็น
วิบากรรม กรรมที่เกิดจากหรือมีเจ้ากรรมนายเวรนั้น เราสามารถที่จะทำ
การแก้ไขได้ ถ้าหากบุคคลคนนั้นมีอภิญญาจิต มีศีลที่บริสุทธิ์และมีธรรม
เพราะจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่ใช้ในการเจรจาหรือชี้แนะให้กับเจ้ากรรมนายเวร
ไม่เช่นนั้นเจ้ากรรมนายเวรเขาจะไม่ยอมและเชื่อฟังเรา ถ้าหากเจ้ากรรมนาย
เวรของใครที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต้องแก้เอง แก้โดยทั้งคู่อโหสิกรรมให้ซึ่ง
กันและกัน เพื่อผลของกรรมจะไม่ได้ต่อเนื่องและก็ข้ามภพข้ามชาติต่อไป
อีก ถ้าเราขอหรือให้อโหสิกรรมกับเขาแล้วแต่เขาไม่ยอม เราไม่คิดติดใจ
อะไรแล้ว แต่เขายังมีและคิดผูกโกรธ อาฆาตพยาบาทอยู่คนเดียวมันก็จะ
กลายเป็นมโนกรรมของเขาและจะเป็นวิบากกรรมติดตัวเขาคนเดียวต่อไปถ้า
หากเขาไม่หยุดนึกคิดนั้นเสีย กรรมทางกายและทางวาจานั้นกระทำไปแล้ว
ยังมีคนรู้เทวดาเห็น ส่วนกรรมทางจิตใจ ทางความรู้สึกนึกคิดของเรานั้น
ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น นอกจากตัวของเราเองเท่านั้น ใครจะคิดดีหรือคิด
ไม่ดีมันก็จะเก็บเอาไว้ในจิตในใจของคนๆนั้นตลอดไป สะสมกันไปดีบ้างไม่
ดีบ้าง เป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้างแล้วแต่อะไรจะมากกว่ากัน ถ้าอะไรมี
มากกว่าอันนั้นก็ส่งผลก่อนและก็ทำให้อย่างอื่นรอบข้างที่มีพลังอำนาจ
เหมือนกันส่งผลเพิ่มเข้ามาอีก นี่เเหละวิบากกรรม วิบากกรรมนี้แก้ไม่ได้
ดังคำกล่าวในทางพระพุทธศาสนาที่ว่า " ทำกรรมสิ่งใดย่อมได้รับผลอย่าง
นั้น ปลูกพืชชนิดไหนก็ย่อมได้ผลของพืชชนิดนั้น " เป็นกรรมที่ทำให้เรา
ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จบและส่งผลให้เราทั้งทุกข์และสุขคละกันอยู่
ในทุกวันนี้ จึงเป็นเหตุที่ต้องให้มีพระพุทธเจ้า จึงต้องมีการเรียนรู้และ
ศึกษาธรรม จึงต้องมีการฝึกจิตฝึกสมาธิกัน เพื่อยกจิตให้สูงขึ้นไม่ให้ตก
ต่ำ ฝึกจิตมุ่งสู่การหลุดพ้น ( พระนิพพาน ) กรรมชนิดนี้ถ้าเข้าพระนิพพาน
เมื่อไรก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมทันที วิบากกรรมนี้ทุกคนต้องแก้เอง ไม่มี
ใครช่วยเราได้เลย ไม่ต้องวิ่งเสาะแสวงหาให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็ตนเป็นที่
พึ่งแห่งตนนี่แหละ เพราะบุญกุศลบารมีต้องสร้างและทำเอาเอง ไม่มีวาง
ขายไม่มีแจกและไม่มีแถม คนอื่นๆเป็นได้แค่คนที่ชี้แนะแนวทางให้เราเท่า
นั้น นอกจากนี้ยังมีกรรมที่ได้รับจากพ่อและแม่ของเราอีก เรารับมาทั้งสอง
ฝ่ายๆละ ๒๕% รับเมื่อเราเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา รวมเป็น ๕๐% ติด
ตัวของเรามาอีก ๕๐% รวมก็เป็น ๑๐๐% มีทั้งส่วนที่เป็นกุศล(ดี) และ
อกุศล(ไม่ดี) ถ้าหากเกิดมามีส่วนที่ดีมากเราก็จะสบายไม่ทุกข์ร้อนอะไร
แต่ถ้าหากตอนนี้เราทุกข์ยากลำบาก ไม่สบาย มีปัญหา ก็แสดงว่าอกุศล
(ไม่ดี) มันส่งผลให้กับเราแล้ว วิธีแก้ของเราก็คือการสร้างบุญสร้างกุศล
สร้างความดีให้มากๆเพื่อจะได้ไปกดทับพลังที่ไม่ดี(อกุศล)ไม่ให้มันส่งผลเท่า
นี้เองก็หมดปัญหา แต่การกระทำตรงนี้เราต้องมีและใช้ความเพียรพยายาม
และความอดทนมากจึงจะสำเร็จ ไม่เหมือนกับการทำความไม่ดีหรือทำ
ความชั่วใช้ความเพียรน้อยแต่ส่งผลมากและเร็ว พอกรรมวิบากที่เป็นฝ่ายไม่
ดีนี้ส่งผลเมื่อไร อย่างอื่นที่ไม่ดีก็จะแทรกทันที เช่น เจ้ากรรมนายเวรที่รอ
จังหวะที่จะเล่นงานเราอยู่ มารหรือซาตานก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น คุณไสยมนต์
ดำ ลมเพลมพัดก็จะเข้าแทรกได้ทันที จิตวิญญาณต่ำก็เข้าแฝง ที่เขา
เรียกว่า " ดวงตก " พอดวงตกผีก็ซ้ำ มารก็ขวาง วิญญาณก็แทรก
ทุกข์ทั้งกายทั้งใจเลยละทีนี้ อย่าวิ่งไปหาและขอความช่วยเหลือจากใคร
เลย เร่งสร้างบุญบารมีกันเถอะ จะได้หมดทุกข์หมดโศกมีแต่ความสุขกัน
ทุกๆคนเสียที .........

Read More